วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Filorga Embryo Blast

Filorga Embryo Blast (EB) ®


สกัดจากเซลล์ตัวอ่อนของแกะ

เป็นที่ทราบกันดีว่าการทำงานของเซลล์จะเสื่อมประสิทธิภาพลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการได้รับเซลล์บำบัด จะทำให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูจากความร่วงโรยของวัย ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และมีชีวิตชีวา

 

ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้


เซลล์ตัวอ่อน (เซลล์เอ็มบริโอ) ช่วยในเรื่องการลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย กระตุ้นการสร้างตัวของเส้นผมฟื้นฟูระบบเซลล์ในร่างกายที่เสื่อมสภาพลงตามวัย เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บให้ร่างกาย ฟื้นฟูประสิทธิภาพของการสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์เก่าที่ร่วงโรย
Filorga ภาพก่อนและหลังการใช้ filorga EB

 

Filorga 4-in-1-Female

FILORGA Tissular Extract 4-in-1 (F)

ฟื้นฟูความสมบูรณ์ของระบบร่างกายในเพศหญิง



สกัดจากเซลล์ตัวอ่อนของแกะอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ประกอบไปด้วยโมเลกุลเซลล์ที่สำคัญ 4 ชนิด
  • เซลล์ตัวอ่อน  ปรับสมดุลและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารคัดหลั่งในร่างกาย ขจัดความอ่อนล้า
  • ต่อมไธมัส/ ต่อมน้ำเหลือง เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ป้องกันการติดเขื้อ และลดอัตราการเจ็บป่วย ปรับสมดุลร่างกายให้อ่อนเยาว์
  • เซลล์สมอง ยกระดับความจำ กระตุ้นการทำงานของสมอง ทำให้สมองมีการตื่นตัว ลดอัตราการเกิดโรคอัลไซเมอร์
  • เซลล์รังไข่ ช่วยการทำงานของระบบหมุนเวียนของโลหิต ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเรียบเนียน ปรับระดับฮอร์โมน ทำให้รอบเดือนเป็นปกติมากขึ้น และยังช่วยชะลอการเกิดภาวะวัยทองได้อีกด้วย (มีในเฉพาะเพศหญิง)
เซลล์ต้นกำเนิดที่ผสานความต้องการของร่างกายทุกส่วนเข้าไว้ด้วยกัน ผลลัพธ์ที่ได้ จะคงสภาพความสมบูรณ์ของร่างกายมากที่สุดทั้งด้านร่างกาย ผิวพรรณ สมอง และระบบสืบพันธ์

1 กล่อง บรรจุ: 10 x 8 ml

โปรดระบุถึงเพศของผู้ใช้เนื่องจากผลิตภัณฑ์แบ่งเป็นสอง 2 ประเภทคือ
1.  Tissular Extract 4 in 1 Female สำหรับผู้หญิง
2.  Tissular Extract 4 in 1  Male สำหรับผู้ชาย

วิธีใช้ : 2 อาทิตย์/1 ครั้ง หรือ 1 เดือน/1 ครั้ง กล่องใช้ได้นาน 1 ปี

Filorga 4-in-1 Male


FILORGA Tissular Extract 4-in-1 (M)

ฟื้นฟูความสมบูรณ์ของระบบร่างกายในเพศชาย


สกัดจากเซลล์ตัวอ่อนของแกะอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ประกอบไปด้วยโมเลกุลเซลล์ที่สำคัญ 4 ชนิด
  • เซลล์ตัวอ่อน  ปรับสมดุลและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารคัดหลั่งในร่างกาย ขจัดความอ่อนล้า
  • ต่อมไธมัส/ ต่อมน้ำเหลือง เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ป้องกันการติดเขื้อ และลดอัตราการเจ็บป่วย ปรับสมดุลร่างกายให้อ่อนเยาว์
  • ต่อมสมอง ยกระดับความจำ กระตุ้นการทำงานของสมอง ทำให้สมองมีการตื่นตัว ลดอัตราการเกิดโรคอัลไซเมอร์
  • ต่อมอัณฑะ เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ลดอัตราการเกิดภาวะวัยทองในเพศชาย ควบคุมระดับไขมันในเลือด

เซลล์ต้นกำเนิดที่ผสานความต้องการของร่าง กายทุกส่วนเข้าไว้ด้วยกัน ผลลัพธ์ที่ได้ จะคงสภาพความสมบูรณ์ของร่างกายมากที่สุดทั้งด้านร่างกาย ผิวพรรณ สมอง และระบบสืบพันธ์

1 กล่อง บรรจุ: 10 x 8 ml

โปรดระบุถึงเพศของผู้ใช้เนื่องจากผลิตภัณฑ์แบ่งเป็นสอง 2 ประเภทคือ
1.  Tissular Extract 4 in 1 Female สำหรับผู้หญิง
2.  Tissular Extract 4 in 1  Male สำหรับผู้ชาย

วิธีใช้ : 2 อาทิตย์/1 ครั้ง หรือ 1 เดือน/1 ครั้ง กล่องใช้ได้นาน 1 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Filorga XHA Volume




FILORGA XHA Volume เติมร่องริ้วรอยระดับลึก*



ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวที่เคยอ่อนเยาว์ ร่วงโรยไปตามกาลเวลา เพราะผิวเสียสมดุลในการสร้างและฟื้นฟู เป็นผลทำให้เกิดริ้วรอย ผิวเหี่ยวย่น ขาดความกระชับ หย่อนคล้อย แห้งกร้าน และปัญหาผิวไม่สมบูรณ์แบบนานาประการ จากการวิจัยอันยาวนานของทีมนักวิทยาศาสตร์ พบว่าการนำเอาสารประโยชน์ในธรรมชาติมาแก้ไขปัญหากวนใจเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ โดยคุณไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าเวลาจะพรากผิวใสวยไปจากคุณ

*เหมาะสำหรับผิวที่มีริ้วรอยเห็นชัดเจนเด่นมาก เช่น ร่องคิ้ว ร่องแก้ม ริ้วรอยบนหน้าผากที่มีระดับลึกมาก
*น้ำหนักโมเลกุล (ค่าความเข้มข้น) 25mg/ml

Filorga XHA3






FILORGA XHA3 เติมร่องริ้วรอยระดับกลาง*



ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวที่เคยอ่อนเยาว์ ร่วงโรยไปตามกาลเวลา เพราะผิวเสียสมดุลในการสร้างและฟื้นฟู เป็นผลทำให้เกิดริ้วรอย ผิวเหี่ยวย่น ขาดความกระชับ หย่อนคล้อย แห้งกร้าน และปัญหาผิวไม่สมบูรณ์แบบนานาประการ จากการวิจัยอันยาวนานของทีมนักวิทยาศาสตร์ พบว่าการนำเอาสารประโยชน์ในธรรมชาติมาแก้ไขปัญหากวนใจเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ โดยคุณไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าเวลาจะพรากผิวสวยไปจากคุณ
*เหมาะสำหรับผิวที่มีริ้วรอยเด่นชัด เช่น ร่องคิ้ว ร่องแก้มที่ลึก
*น้ำหนักโมเลกุล (ค่าความเข้มข้น) 23mg/ml

Filorga M-HA 18





FILORGA M-HA 18 เติมร่องริ้วรอยระดับตื้น*


ด้วยอายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวที่เคยอ่อนเยาว์ ร่วงโรยไปตามกาลเวลา เพราะผิวเสียสมดุลในการสร้างและฟื้นฟู เป็นผลทำให้เกิดริ้วรอย ผิวเหี่ยวย่น ขาดความกระชับ หย่อนคล้อย แห้งกร้าน และปัญหาผิวไม่สมบูรณ์แบบนานาประการจากการวิจัยอันยาวนานของทีมนักวิทยาศาสตร์ พบว่าการนำเอาสารประโยชน์ในธรรมชาติมาแก้ไขปัญหากวนใจเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ โดยคุณไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าเวลาจะพรากผิวสวยไปจากคุณ

*เหมาะสำหรับผิวที่มีริ้วรอยบางๆ  เช่น รอยที่มุมปาก ริ้วรอยที่หางตา ร่องคิ้ว ข้างแก้มที่ไม่ลึก  มากนัก
*น้ำหนักโมเลกุล (ค่าความเข้มข้น) 18mg/ml

Filorga Mesotherapy




FILORGA NCTF 135 เมโส หน้าขาวใส กระชับ ดั่งผิววัยเยาว์
NCTF คือสูตรความงามลิขสิทธิ์คิดค้นจากสถาบัน Filorga ประกอบด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ 53 ชนิด NCTF® เป็น สูตรบำรุงผิวที่ได้รับการพิสูจน์ว่าให้ผลลัพธ์ที่ดีในการต่อต้านริ้วรอย รับรองมาตราฐาน CE ผ่านการรับรองประสิทธิภาพทางวิทยาศาสตร์ โดยสูตรดังกล่าวนี้ ประกอบไปด้วย

- วิตามิน 12 ชนิด
- กรดอะมิโนสำคัญ 23 ชนิด
- โคเอนไซม์ 6 ชนิด
- สารอนุพันธุ์ 5 ชนิด
- แร่ธาตุ 6 ชนิด
- สารต้านอนุมูลอิสระ 1 ชนิด

ผลลัพธ์จากการทดลองใช้พบว่า
147 % of fibroblasts growth สารกระตุ้นการเจริญเติบโต เร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ได้ดีกว่า
90 % of protection against free radicals สารยับยั้งการเกิดสารอนุมูลอิสระ
256% of collagen synthesis สารประกอบคอลลาเจนในชั้นผิวเพิ่มมากขึ้น
366% of over-expression of the inhibitor gene of elastase เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง elastase เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว ผิวมีความกระชับขึ้น ริ้วรอยจางลง

ผลการทดลองจากศูนย์วิจัยทางเภสัชศาสตร์ ทดลองโดยอาสาสมัคร 40 คน ภายใต้การแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ***

Filorga Organ Specific Stem Cell Therapy - ต่อมไทมัส


Filorga-ต่อมไทมัส(TH)


ต่อมไทมัส(Thymus gland) เป็นเนื้อเยื่อน้ำเหลืองชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างภูมิคุ้มกันให้เซลล์  ดักจับเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกาย ต่อมไทมัสสามารถทำหน้าที่ดังกล่าวตั้งแต่ทารกยังอยู่ใน ครรถ์ ภายหลังการเกิดเมื่อทารกมีอายุมากขึ้น

ต่อมไทมัสจะหมดความสำคัญ และจะฝ่อไปในที่สุด นอกจากทำหน้าที่กี่ยวข้องกับการสร้างภูมิคุ้มกันแบบให้เซลล์กันแล้ว ต่อมไทมัสยังทำหน้าที่เป็นต่อมไร้ท่อซึ่งสังเคราะห์และหลั่งฮอร์โมนหลายชนิด ฮอร์โมนที่สำคัญชนิดหนึ่งคือ ไทโมซิน (thymosin) ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ในกระแสเลือดที่ผ่านต่อมไทมัสแล้ว ให้เจริญแล้วพัฒนาเป็นเซลล์ที่พร้อมที่จะทำงานได้ ถึงแม้ว่าบทบาทของต่อมไทมัส ในระบบภูมิคุ้มกันของคนเรา จะมีน้อยในผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ต่อมไทมัสจะไม่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะมันอาจมีหน้าที่อีกหลายอย่างที่ เราไม่ทราบ เราจึงไม่สามารถตัดต่อมไทมัสทิ้งไปได้ ข้อมูลทางการแพทย์แผนโบราณของประเทศจีน ถือว่า ร่างกายของคนเรานั้น ถูกควบคุมด้วย 2สิ่ง คือ สมองและต่อมไทมัส โดยสมองเป็นส่วนที่สั่งงานให้อวัยวะต่างๆ เคลื่อนไหว ในขณะที่ต่อมไทมัส จะมีหน้าที่ในการควบคุม การทำงานของของเหลวในร่างกาย ด้วยเหตุนี้ แพทย์แผนจีน จึงให้ความสำคัญกับต่อมนี้เป็นอย่างยิ่ง

ผลจากการรักษาสังเกตได้ว่าร่างกายปรับตัวดีขึ้น ภูมิต้านทานแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ไม่อ่อนแอ 




Filorga Organ Specific Stem Cell Therapy - ไต


Filorga-ไต(KY)


ส่งเสริมการทำงานของระบบไต ในการขับถ่ายของเสีย สิ่งปฏิกูลออกจากร่างกาย ช่วยฟอกเลือดให้สะอาดขึ้น ลดอัตราการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง อีกทั้งยังซ่อมแซมการทำงานของตับที่บกพร่อง ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการดังเช่น ปวดเอว ปวดข้อ ตาลาย หูอื้อ ช่วยบำรุงให้มีเลือดไปเลี้ยงตับได้มากขึ้น

ผลจากการรักษา:กล้ามเนื้อแข็งแรง มีกำลังวังชา กระฉับกระเฉง ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องปัสสาวะถี่ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปวดปัสสาวะอาการรุนแรง ฟอกเลือดให้มีความสะอาด และเมื่อลำเลียงไปเลี้ยงส่วนต่างๆแล้ว ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบนั้นๆดีขึ้นอย่างชัดเจน






Filorga Organ Specific Stem Cell Therapy - รก/พลาเซนต้า


Filorga-รก/พลาเซนต้า(PA)


อาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาเรื่องเซลล์บำบัด เมื่อค้นพบว่ารกแกะมีคุณสมบัติในการสร้างและซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมโทรม ทำให้ร่างกายองค์รวมได้รับการปรับปรุง ฟื้นฟูให้กับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ชะลอความร่วงโรยจากการทำงานของระบบเซลล์ที่เสื่อมถอยลงตามกาลเวลาจึงเห็นได้ว่ามีผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากรกแกะวางจำหน่ายอยู่มากมาย หลายรูปแบบ ทั้งยาเม็ด และยาฉีด เพราะสรรพคุณของรกแกะนี้ มหัศจรรย์จนต้องพิสูจน์กับตนเองเท่านั้น จึงจะเชื่อได้ 
นอกจากนี้แล้วคนในเมืองที่มักจะประสบปัญหาความสื่อมโทรมลง อันเนื่องจาก ควันพิษ อนุมูลอิสระ ความเครียดจากการทำงานหนัก ร่างการจึงเสื่อมโทรมลงด้วยสาเหตุต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุที่เพิ่มมากขึ้น เที่ยวดึก ดื่มแอลกอฮอล์จัด พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจึงเสื่อมโทรมลงก่อนวัยอันควร จึงเป็นสาเหตุทำให้เซลล์ใหม่เกิดทดแทนซลล์ที่ตายและเสียหายไม่ทัน ซึ่งประโยชน์ของ "รก/พลาเซนต้า" สารสกัดจาก "พลาเซนต้า" ไม่มีฮอร์โมนอื่นใดเป็นพิเศษ มีแต่เพียงสารอาหารที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ที่คอยอนุบาลทารก เป็นสารอาหารที่คนสูงอายุขาดแคลนมานาน แม้ว่าจะไม่มีฮอร์โมนใดๆก็ตาม แต่สารสกัดจาก"พลาเซนต้า"กลับกระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮอรโมนได้เอง และมีระดับใกล้เคียงกับวัยหนุ่มสาว เช่น HSG, HPL, HCT, ACTH, DHEA และเอนไซม์ เป็นต้น สารอาหารที่ได้จาก "พลาเซนต้า" คืนความสมดุลของกรดและด่างในเลือด ทำให้ของเสียจากเซลล์ถูกขับถ่ายออกมา เลือดไหลเวียนดีขึ้น อวัยวะทำงานดีขึ้น การมองเห็นเด่นชัด  ด้วยกรดอะมิโนที่สำคัญและจำเป็นที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ขึ้นมาใหม่


ผลจากการรักษาระบบกายภาพภายในทั่วไปได้รับการซ่อมแซม ทำให้ร่างกายมีความแข็งแรง มีเรี่ยวแรงขึ้นกว่าแต่ก่อน มีชีวิตชีวา ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง





Filorga Organ Specific Stem Cell Therapy - สมอง



Filorga-สมอง(TC)


สุขภาพของสมอง ปัจจุบันนี้คนเรามักมองข้ามขาดการดูแล และละเลยหน้าที่สำคัญของสมอง รอจนกระทั่งเกิดปัญหาหรือความเสียหายต่อสมองเสียก่อนจึงค่อยหันมาดูแลแก้ไข เมื่อสมองมีร่องรอยเกิดจากบาดแผลหรือความกระทบกระเทือนจากของแข็ง  ทำให้เซลล์ประสาทสมองมีการตอบสนองที่ลดลลง  ซึ่งผลกระทบต่อสุขภาพสมองนี้สามารถเกิดได้ในทุกวัย ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การได้รับบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาต่างๆ โรคหลอดเลือดสมอง(Stroke) ที่เกิดจากเส้นเลือดที่ ไปเลี้ยงสมองอุดตัน และอาการบาดเจ็บของสมอง  หรือแม้กระทั่งการอดอาหาร ที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานของระบบสมอง สำหรับผู้สูงอายุ ร่างกายเกิดสภาวะเสื่อมโทรมตามกาลเวลาก่อให้เกิดโรคสมอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เช่น โรคพาร์กินสัน เป็นความผิดปกติทางปัญญา อาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า และโรคสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ เป็นโรคความจำเสื่อม หลงลืม เรื่องที่ลืมก็จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ในชีวิตประจำวัน แต่โรคเหล่านี้สามารถซ่อมแซมได้โดยการรักษาด้วยเซลล์ตัวอ่อนต้นกำเนิด 
สมองมีหน้าที่ควบคุมและสั่งการการเคลื่อนไหว, พฤติกรรม และรักษาสมดุลภายในร่างกาย  เช่น การเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, สมดุลของเหลวในร่างกาย และอุณหภูมิ เป็นต้น หน้าที่ของสมองยังมีเกี่ยวข้องกับการรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหว และความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้
ผลจากการรักษาด้วยแนวการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ นัวตกรรมใหม่จาก Filorga ช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย และฟื้นฟูสมอง  ซึ่งเป็นเซลล์ตัวอ่อนสกัดจากเซลล์ต้นกำเนิด มันสมองทั้งหมดที่เป็นประโยชน์ ต่อผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพสมอง หรือความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน เนื่องจากสมองได้รับบาดจ็บ รวมกระทั่งการรักษาและบรรเทาอาการของโรคเช่น พาร์กินสัน และโรคความจำเสื่อม  และยังช่วยให้ร่างกายกระฉับกระเฉง มีความตื่นตัว ความจำพัฒนาดีขึ้น มีสมาธิในการเรียนรู้ การนอนหลับดีขึ้น ส่งผลทำให้ร่างกายโดยองค์รวมดีขึ้นเป็นลำดับ




Filorga Organ Specific Stem Cell Therapy - ตับอ่อน



Filorga-ตับอ่อน(PS)


ตับอ่อน เป็นอวัยวะที่สำคัญมากต่อร่างกายคนเรา ทำหน้าที่ทั้งในด้านช่วยย่อยอาหารและช่วยผลิตฮอร์โมน
ตับอ่อนอยู่ในตำแหน่งช่องท้อง ด้านหลังกระเพาะอาหาร อยู่ใกล้กับตำแหน่งของลำใส้ มีสีเหลืองอ่อน ตับอ่อนมีความยาวราวๆ 6 นิ้ว แบ่งออกได้เป็นส่วนหัว (Head) ส่วนกลาง (Body) และส่วนหาง (Tail)
ตับอ่อนทำหน้าที่หลัก 2 ประการคือ
1. ช่วยย่อยอาหาร
ตับอ่อนช่วยย่อยอาหารโดยช่วยสร้างเอนไซม์แล้วส่งไปช่วยย่อยอาหารที่ลำไส้เล็ก โดยมีเอนไซม์ไลเปสช่วยย่อยไขมัน เอนไซม์อะไมเลสช่วยย่อยแป้ง เอนไซม์ทริบซินช่วยย่อยโปรตีนให้เป็นกรดอะมิโน
2. เป็นต่อมไร้ท่อ ช่วยผลิตฮอร์โมน
ตับอ่อนทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนหลายชนิด โดยฮอร์โมนที่สำคัญที่สุดคือฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin)
ฮอร์โมนอินซูลินทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล กล่าวคือจะเปลี่ยนน้ำตาลที่ร่างกายได้รับให้เป็นสารจำพวกกลัยโคเจน (glyeogen) เพื่อเก็บไว้ในตับและกล้ามเนื้อเพื่อเป็นพลังงานสำรองในร่างกาย นอกจากนี้ฮอร์โมนอินซูลินยังช่วยกระตุ้นให้เซลล์ต่างๆเผาผลาญน้ำตาลให้ได้พลังงานที่ร่างกายเอาไปใช้
ในคนที่ตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้เพียงพอหรือมีความบกพร่องในการสร้างฮอร์โมนอินซูลิน จะทำให้การเผาผลาญน้ำตาลมีประสิทธิภาพต่ำลง เหลือน้ำตาลตกค้างในร่างกายและในกระแสเลือด ทำเกิดภาวะโรคเบาหวานได้ง่าย ในภาวะตรงกันข้าม ถ้าตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินมากเกินไป ก็จะทำให้น้ำตาลถูกเผาผลาญมากเกินไป จนเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำให้เกิดอาการใจหวิว หน้ามืด ตัวเย็น ถ้าเป็นมากๆ อาจทำให้เป็นลมหมดสติเป็นอันตรายได้เช่นกัน
ตับอ่อนมีหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารและเป็นต่อมไร้ท่อสร้างฮอร์โมน อินซูลิน แล้วลำเลียงส่งไปที่ลำไส้เล็ก ฮอร์โมนอินซูลินที่สร้างจากตับอ่อนเป็นตัวควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้เจ็บป่วยจากโรคตับอ่อนอักเสบ ที่มักเกิดจากมีการอักเสบของเซลล์ของตับอ่อน อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือเกิดจากพิษของสุรา

ผลจากการรักษา:สามารถช่วยในการซ่อมแซมตับอ่อน ฟื้นฟูความสมดุลของร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร ฟื้นฟูกระเพาะและลำไส้ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต ช่วยในการขับล้างสารพิษ และตับอ่อนอักเสบได้ หมดกังวลเรื่องปัญญาสุขภาพตับอ่อน และยังทำให้มีสุขภาพโดยรวมดีขึ้น 





Filorga Organ Specific Stem Cell Therapy - ตับ


Filorga-ตับ(LR)


เนื่องจากตับนั้นเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกาย ทั้งการควบคุมการแข็งตัวของเลือด กำจัดสารพิษ และสังเคราะห์โปรตีนต่างๆ ในร่างกาย โดยปกติแล้วตับเป็นอวัยวะที่มีความสามารถสูงในการซ่อมแซมตัวเอง (Regeneration) นั่นคือ เมื่อตับเกิดการบาดเจ็บ เซลล์ตับสามารถแบ่งตัวซ่อมแซมตัวเองได้นั่นเอง แต่ในปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่เป็นโรคตับแข็ง (cirrhosis) ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือ จากการดื่มเหล้าเรื้อรัง หากตับแข็งถึงขั้นรุนแรงจำเป็นจะต้องได้รับการปลูกถ่ายเปลี่ยนตับใหม่ ซึ่งจำนวนตับที่บริจาคไม่เพียงพอ ดังนั้นการใช้สเต็มเซลล์จึงเป็นทางเลือกใหม่ในอนาคต โดยการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับ เพื่อให้เซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปซ่อมแซม และทดแทนการปลูกถ่ายตับ หรือเพื่อประทังเวลาในช่วงที่รออวัยวะเพื่อปลูกถ่ายตับใหม่
ส่งเสริมการทำงานของตับในเรื่องระบบการเผาผลาญและการย่อยอาหาร ป้องกันและลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคตับอักเสบ ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องทำให้ร่างกายแปรปรวน การทำงานของตับทำได้ไม่เต็มที่ จึงเป็นผลทำให้ ระบบย่อยอาหารเสื่อมถอย การขับถ่ายสารพิษ ของสียทรุดโทรม ผิวเหลือง ไม่สดใส เหนื่อยล้าง่าย

ผลจากการรักษา:กระฉับกระเฉง มีความอยากอาหาร ระบบเผาผลาญทำงานเป็นปกติ น้ำหนักตัวเหมาะสม มีชีวิตชีวาไม่รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ผิวพรรณตามร่างกายดูสดใส







เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ในชีวิตประจำวัน และคำถามน่ารู้





1. เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell)ในปัจจุบันมีที่ใช้อย่างไรบ้าง?
ปัจจุบันวงการแพทย์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเซลล์ต้นกำเนิดของระบบโรค เลือดมากที่สุด [5] จนสามารถนำมาใช้รักษากลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และโรคที่มีเซลล์ต้นกำเนิดผิดปกติในไขกระดูก สำหรับประเทศไทยจากคำแถลงของแพทยสภา ได้ระบุให้สามารถใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่ได้มาตรฐาน เพื่อการรักษาโรคเลือดเท่านั้น และโดยข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เรื่องการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาพุทธศักราช 2552 ได้ระบุว่า ต้องเป็นการรักษาที่ทำการวิจัยมาแล้วจนเป็นที่ยอมรับว่า เป็นวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐาน ถ้าหลักฐานไม่ชัดเจนให้ถือเป็นงานวิจัย ที่ต้องได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการการวิจัยก่อน และผู้ที่รักษาได้ต้องเป็นแพทย์เฉพาะทางที่มีวุฒิบัตรเฉพาะทาง [13],[14]

2. เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ที่โฆษณาตามผลิตภัณฑ์ และคลินิกเสริมความงามต่างๆ เชื่อถือได้หรือไม่?
ปัจจุบันต้องยอมรับว่ากระแสเสริมความงามต่างๆ กำลังมาแรง โดยเฉพาะตามคลินิกเสริมความงามต่างๆ ซึ่งอ้างถึงการนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ โดยมุ่งหวังที่จะเอาแต่ผลกำไรเพียงอย่างเดียว ผู้บริโภคจึงต้องเลือกอย่างฉลาด ขอยกตัวอย่าง องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) นั้นยอมรับให้ใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพียงข้อเดียวคือ เพื่อรักษาโรคที่จำเพาะเช่น มะเร็งเม็ดเลือด โดยต้องใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่เก็บจาก สายสะดือเด็กระหว่างคลอดเท่านั้น สำหรับข้อบ่งชี้อื่นนั้นยังไม่ได้รับการรับรอง นอกจากนี้ยังแนะนำประเทศอื่นว่า ถ้าต้องการใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาโรคอื่นๆ ควรต้องถามข้อบ่งใช้ และความปลอดภัยให้ดีก่อน และควรจะถามด้วยว่าการนำมาใช้นั้น เป็นส่วนหนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงทำการทดลองหรือไม่ [8-9]
สำหรับประเทศไทยยังได้ออกคำสั่งห้ามมีการนำเซลล์ หรือส่วนประกอบอื่นๆ ของมนุษย์มาทำเครื่องสำอางอีกด้วย [10] ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องสำอางที่อ้างว่า มีการใส่เซลล์ต้นกำเนิดลงไปนั้นต้องใช้วิจารณญาณส่วนบุคคล ศึกษาหาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจ เนื่องจากสเต็มเซลล์มีความเปราะบางและต้องการการเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมพิเศษ เฉพาะ ซึ่งตามห้องทดลองทั่วไปยังเลี้ยงได้ยาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คลินิกต่างๆ จะเลี้ยงสเต็มเซลล์ไว้ได้เองในตู้เย็น หรือในหลอดฉีดยาโดยไม่มีสารเลี้ยงเซลล์ นอกจากนี้เครื่องสำอางที่อ้างว่าผสมสเต็มเซลล์เช่น จากรกแกะ ถือเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ยากว่าสเต็มเซลล์นั้นจะอยู่รอดจนนำมาใช้ให้เกิด ผลได้อย่างไร [11-12]

3. ถ้าฉีดเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) ทำให้เกิดมะเร็งจริงหรือ ?
ข้อมูลจากการศึกษาทางการแพทย์ พบว่ามีการฉีดเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงดังนี้
3.1 อาจเกิดเป็นมะเร็งได้
เนื่องจากเซลล์ต้นกำเนิดมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายกับเซลล์มะเร็งคือ เป็นเซลล์ที่แบ่งตัวได้เร็ว และเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์อื่นได้ โดยเซลล์มะเร็งบางชนิดก็มาจาก เซลล์ต้นกำเนิดที่อยู่ตามที่ต่างๆ ในร่างกายเรานั่นเอง ซึ่งจะสังเกตได้ว่า เซลล์ที่แบ่งตัวได้เร็วมีโอกาสเปลี่ยนเป็นมะเร็งได้มากกว่าเซลล์ที่แบ่งตัวได้ช้า เช่น มะเร็งตับก็พบมากกว่ามะเร็งสมอง เนื่องจากเซลล์ตับสามารถแบ่งตัวซ่อมแซมตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เซลล์ประสาทสมองนั้นไม่มีการแบ่งตัวอีกในผู้ใหญ่ [3]
ดังนั้นการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปในร่างกายโดยตรงโดยที่ไม่รู้ด้วยว่าเซลล์ต้นกำเนิดที่ฉีดนั้นเป็นชนิดใด จะเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ชนิดใดต่อไป และไปอยู่ที่อวัยวะใด ซึ่งหากควบคุมไม่ได้ก็จะแบ่งตัวจนเกิดมะเร็งขึ้นได้ ตัวอย่างเช่นที่ประเทศรัสเซียพบว่าเกิดมะเร็งสมองขึ้นในผู้ป่วยที่ได้รับการเซลล์ต้นกำเนิดชนิด Fetal stem cell [4]
ที่มาของภาพ : Craig T. Jordan, Ph.D., Monica L. Guzman, Ph.D., and Mark Noble, Ph.D. N Engl J Med 2006; 355:1253-1261
ภาพแสดงนิวโรเสฟียร์ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดในสมองมนุษย์ซึ่งมีความสามารถที่จะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้

3.2 การติดเชื้อ
เกิดจากกรรมวิธีการเก็บรักษาเซลล์ต้นกำเนิดไม่ถูกต้อง มีเชื้อโรคอื่นปนเปื้อนเช่น เชื้อไวรัส นอกจากนี้หากเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่มาจากสัตว์ อาจต้องระวังเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคพิษสุนัขบ้าติดมาด้วย[7]
3.3 เป็นการเปลืองทรัพย์ เปลืองเวลา และเปลืองโอกาสโดยใช่เหตุ
กับ สิ่งที่เรายังไม่รู้แน่นอน ซึ่งนอกจากจะเปลืองเงินและเวลาแล้ว ยังทำให้เสียโอกาสที่จะรักษาด้วยวิธีอื่น ซึ่งเป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่มีผลการศึกษาทางการแพทย์ไว้แล้วชัดเจนว่าใช้ ได้จริง [8-[10]

การฉีดสารกระตุ้นเพื่อให้ เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ที่มีอยู่เดิมในร่างกายทำงานมากขึ้น (endogenous stem cell)


คือการใช้สารฉีดเข้าไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ต้นกำเนิดที่มีอยู่แล้วในร่างกาย ให้ทำงานซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เราต้องการ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การฉีดฮอร์โมน erythropoietin เข้าในร่างกาย เพื่อกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดที่อยู่ในไขกระดูกให้เจริญเติบโตเป็นเม็ดเลือด แดง ใช้รักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจาง
เนื่องจากตับนั้นเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกาย ทั้งการควบคุมการแข็งตัวของเลือด กำจัดสารพิษ และสังเคราะห์โปรตีนต่างๆ ในร่างกาย โดยปกติแล้วตับเป็นอวัยวะที่มีความสามารถสูงในการซ่อมแซมตัวเอง (Regeneration) นั่นคือ เมื่อตับเกิดการบาดเจ็บ เซลล์ตับสามารถแบ่งตัวซ่อมแซมตัวเองได้นั่นเอง แต่ในปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่เป็นโรคตับแข็ง (cirrhosis) ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือ จากการดื่มเหล้าเรื้อรัง หากตับแข็งถึงขั้นรุนแรงจำเป็นจะต้องได้รับการปลูกถ่ายเปลี่ยนตับใหม่ ซึ่งจำนวนตับที่บริจาคไม่เพียงพอ ดังนั้นการใช้สเต็มเซลล์จึงเป็นทางเลือกใหม่ในอนาคต โดยการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับ เพื่อให้เซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปซ่อมแซม และทดแทนการปลูกถ่ายตับ หรือเพื่อประทังเวลาในช่วงที่รออวัยวะเพื่อปลูกถ่ายตับใหม่ [2] อย่างไรก็ตามการรักษาดังกล่าวก็ยังอยู่ในขั้นการทดลองก่อนจะนำมาใช้แพร่หลาย เป็นวงกว้าง

การใช้เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) เพื่อการรักษาโรคโดยตรง (Cell-based approach)


คือการใช้เซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปซ่อมแซมการทำงานของอวัยวะโดยการฉีดเข้าไปใน อวัยวะนั้นโดยตรง หรือฉีดเข้าไปในกระแสเลือด โดยหวังให้เซลล์ต้นกำเนิดที่ฉีดเข้าไปนั้นเปลี่ยนเป็นเซลล์ที่ต้องการ เพื่อทำหน้าที่ซ่อมแซมต่อไป โดยจะขอยกตัวอย่างตับเป็นอวัยวะตัวอย่าง
เนื่องจากตับนั้นเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญต่อร่างกาย ทั้งการควบคุมการแข็งตัวของเลือด กำจัดสารพิษ และสังเคราะห์โปรตีนต่างๆ ในร่างกาย โดยปกติแล้วตับเป็นอวัยวะที่มีความสามารถสูงในการซ่อมแซมตัวเอง (Regeneration) นั่นคือ เมื่อตับเกิดการบาดเจ็บ เซลล์ตับสามารถแบ่งตัวซ่อมแซมตัวเองได้นั่นเอง แต่ในปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่เป็นโรคตับแข็ง (cirrhosis) ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือ จากการดื่มเหล้าเรื้อรัง หากตับแข็งถึงขั้นรุนแรงจำเป็นจะต้องได้รับการปลูกถ่ายเปลี่ยนตับใหม่ ซึ่งจำนวนตับที่บริจาคไม่เพียงพอ ดังนั้นการใช้สเต็มเซลล์จึงเป็นทางเลือกใหม่ในอนาคต โดยการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงตับ เพื่อให้เซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปซ่อมแซม และทดแทนการปลูกถ่ายตับ หรือเพื่อประทังเวลาในช่วงที่รออวัยวะเพื่อปลูกถ่ายตับใหม่ [2] อย่างไรก็ตามการรักษาดังกล่าวก็ยังอยู่ในขั้นการทดลองก่อนจะนำมาใช้แพร่หลาย เป็นวงกว้าง

การนำเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) มาเลี้ยงเป็นอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อก่อน แล้วจึงนำกลับมาปลูกถ่ายให้ผู้ป่วย (Organ/Tissue Transplantation)


ปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ยังรอการปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อ ไป แต่เนื่องจากจำนวนอวัยวะจากผู้บริจาคนั้นไม่เพียงพอกับความต้องการ ทำให้เกิดแนวคิดที่จะนำเซลล์ต้นกำเนิดมาเพาะเลี้ยงให้เป็นอวัยวะที่ต้องการ (organ-level tissue engineering) ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการค้นคว้าในห้องทดลอง เพื่อจะนำมาใช้กับผู้ป่วยได้จริงในอนาคต
เนื่องจากแต่ละอวัยวะมีความซับซ้อนมากทั้งด้านรูปร่าง และการทำงาน เช่น ไตซึ่งมีรูปร่างเป็นท่อ และมีรูปทรงเป็นสามมิติ นอกจากนั้นยังมีหน้าที่หลายอย่างทั้งการกรองของเสีย การสร้างปัสสาวะ และการหลั่งฮอร์โมน ดังนั้นการจะบังคับให้เซลล์ต้นกำเนิดเจริญเป็นอวัยวะที่ครบสมบูรณ์ดังกล่าว ทำได้ยากมาก อย่างไรก็ตามความพยายามของมนุษย์ก็มิได้มีขีดจำกัดเช่นกัน ปัจจุบันอวัยวะที่มีความหวังว่าจะทำได้สำเร็จคือ การทำท่อปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ เนื่องจากมีความซับซ้อนน้อยกว่า โดยการสกัดเซลล์ต้นกำเนิดมาเพียง 1 ตารางเซนติเมตรก็สามารถเพาะเลี้ยงจนพัฒนาเป็นเซลล์บุท่อปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะ (Urothelial cell)[2] ได้ถึง 4,202 ตารางเมตร หรือมีพื้นที่พอๆ กับสนามฟุตบอลเลยทีเดียว และในปีค.ศ. 1998 ได้มีนำเซลล์ต้นกำเนิดที่เพาะเป็นกระเพาะปัสสาวะมาใช้รักษาผู้ป่วย 7 ราย ที่ป่วยเป็นโรคการทำงานของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ หลังจากได้รับการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ (Cystoplasty) แล้ว พบว่า กระเพาะปัสสาวะทำงานได้ดีขึ้นชัดเจนทั้งการขยายตัว ความจุ และการกลั้นปัสสาวะ ปัจจุบันการศึกษาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะยังคงพัฒนาต่อไปในระยะที่ 2 ขององค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA phase2) ก่อนที่จะนำมาใช้ในวงกว้างต่อไป
ใน ร่างกายของเรามีเซลล์ต้นกำเนิดอยู่ภายในไขกระดูกและเนื้อเยื่ออื่นต่างๆ เช่น เซลล์ไขมัน สมอง และกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถนำมาเพาะเลี้ยงเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อใช้งานได้ ซึ่งปัจจุบันได้มีการศึกษาทดลองอย่างกว้างขวาง แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากความยากในการเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดให้มีชีวิตรอดนั้นจำเป็นต้อง อาศัย สภาพแวดล้อมที่มีลักษณะเฉพาะ และต้องดูแลอย่างเข้มงวดทุกกระบวนการ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสิทธิมนุษยชน และจริยธรรมทางการวิจัยมากำกับควบคุมอีกด้วย

บทบาทของเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ในปัจจุบัน และ อนาคตของเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell)


ปัจจุบันเซลล์ต้นกำเนิดถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ 3 รูปแบบหลัก ดังนี้
  1. นำเซลล์ต้นกำเนิดมาเพาะเลี้ยงเป็นอวัยวะ หรือเนื้อเยื่อก่อน แล้วจึงนำกลับมาปลูกถ่ายให้ผู้ป่วย (Organ/Tissues Transplantation) เช่น การนำเซลล์ต้นกำเนิดมาเพาะเลี้ยงเป็นเส้นประสาท แล้วค่อยปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน (Parkinson Disease) 
  2. การ ใช้ เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาโรคโดยตรง(Cell-based approach) เช่น การฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปที่กล้ามเนื้อหัวใจของผู้ป่วยโดยตรง หรือฉีดเข้ากระแสเลือด เพื่อซ่อมแซมกล้ามเนื้อหัวใจ
  3. การฉีด สารกระตุ้นเพื่อให้ เซลล์ต้นกำเนิดที่มีอยู่เดิมในร่างกายทำงานมากขึ้น (Endogenous stem cell) เช่น การฉีดฮอร์โมน Erythropoietin เข้าไปใน ร่างกาย เพื่อกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดที่อยู่ในไขกระดูก ให้เปลี่ยนเป็นเซลล์เม็ดเลือดแดง ใช้รักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจาง
ตามภาพแสดงด้านล่าง


วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ที่มาของเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell)



หลายคนคงมีความคิดว่าเซลล์ต้นกำเนิดจะต้องนำมาจากเซลล์ตัวอ่อนเท่านั้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากในร่างกายคนเราก็สามารถพบเซลล์ต้นกำเนิดได้เช่นกัน โดยทั่วไปเราสามารถแบ่งแหล่งที่มาของเซลล์ต้นกำเนิดได้ 3 แหล่งคือ
  1. จากเซลล์ตัวอ่อน ระยะ ‘เอ็มบริโอ’ ขณะอยู่ในครรภ์ (embryonic stem cell)
  2. จากเซลล์ทารก ระยะ ‘ฟีตัส’ ขณะอยู่ในครรภ์ (fetal stem cell)
  3. จากเซลล์ของอวัยวะในร่างกายของเรา (adult stem cell)
ในร่างกายของเรามีเซลล์ต้นกำเนิดอยู่ภายในไขกระดูกและเนื้อเยื่ออื่นต่างๆ เช่น เซลล์ไขมัน สมอง และกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถนำมาเพาะเลี้ยงเป็นเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อใช้งานได้ ซึ่งปัจจุบันได้มีการศึกษาทดลองอย่างกว้างขวาง แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากความยากในการเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิดให้มีชีวิตรอดนั้นจำเป็นต้องอาศัย สภาพแวดล้อมที่มีลักษณะเฉพาะ และต้องดูแลอย่างเข้มงวดทุกกระบวนการ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสิทธิมนุษยชน และจริยธรรมทางการวิจัยมากำกับควบคุมอีกด้วย


เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ความหวังใหม่ของวงการแพทย์




“วิทยาศาสตร์มอบความหวังให้กับเราคือ การวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งอาจทำให้ นักวิทยาศาสตร์ได้คำตอบต่อปัญหาที่เอื้อมไม่ถึง ฉันไม่คิดว่า เราสามารถนิ่งดูดายได้ เนื่องจากยังมีอีกหลายโรคที่รอการรักษา เราได้เสียเวลามามากพอแล้ว และเราต้องไม่เสียมันไปอีก” คำกล่าวของ Nancy Reagan อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งแห่งสหรัฐอเมริกา ภริยาของประธานาธิบดี Ronald Reagan ผู้ชีวิตด้วยโรคอัลไซเมอร์ หนึ่งในโรคที่รอความหวังรักษาให้หายขาดด้วย เซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ (stem cell)
การแพทย์ปัจจุบันรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว การใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อรักษาโรคต่างๆ เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย ซึ่งการรักษาส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการทดลอง เพื่อให้ได้ข้อสรุปยืนยันถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัยที่ชัดเจน มีเพียงบางโรคเท่านั้นที่มีผลวิจัยทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่า สามารถใช้เซลล์ต้นกำเนิดรักษาได้ผลจริง บทความนี้จะทำให้ท่านได้รู้จักเซลล์ต้นกำเนิด กันมากขึ้น รวมถึงมีโรคใดบ้างที่ใช้เซลล์ต้นกำเนิดรักษาได้ในปัจจุบัน

FILORGA สเต็มเซลล์ คืออะไร




เซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ (อังกฤษ: Stem Cell) เป็นเซลล์ที่ไม่จำเพาะ ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการแบ่งตัวให้เป็นเซลล์ของเนื้อเยื่อชนิดต่างๆในร่างกายได้ โดยยังคงมีความสามารถในการแบ่งตัวเองให้เป็นเซลล์ต้นกำเนิดเหมือนเดิมด้วย และสามารถพัฒนาเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จำเพาะได้ พบได้จากตัวอ่อนระยะ blastocyst และในเนื้อเยื่อที่โตเต็มวัย เช่น เลือด ไขกระดูก ฟันน้ำนม ผิวหนัง ปัจจุบันได้มีนักวิจัยมากมายที่สนใจในการนำสเต็มเซลล์มาใช้ในการรักษาโรค เช่น ธาลัสซีเมีย ลิวคิเมีย อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน อัมพาตไขสันหลัง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เบาหวาน ให้หายขาดได้
สเต็มเซลล์พบได้ในสายสะดือ เลือด และไขกระดูก เป็นที่ทราบในทางการแพทย์ว่ามีความสำคัญต่อการสร้างระบบเลือด รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งในผู้ใหญ่จะเป็นสเต็มเซลล์จากไขกระดูกที่มีหน้าที่สร้าง เม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเซลล์ที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน