วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ในชีวิตประจำวัน และคำถามน่ารู้





1. เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell)ในปัจจุบันมีที่ใช้อย่างไรบ้าง?
ปัจจุบันวงการแพทย์มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเซลล์ต้นกำเนิดของระบบโรค เลือดมากที่สุด [5] จนสามารถนำมาใช้รักษากลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และโรคที่มีเซลล์ต้นกำเนิดผิดปกติในไขกระดูก สำหรับประเทศไทยจากคำแถลงของแพทยสภา ได้ระบุให้สามารถใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่ได้มาตรฐาน เพื่อการรักษาโรคเลือดเท่านั้น และโดยข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เรื่องการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาพุทธศักราช 2552 ได้ระบุว่า ต้องเป็นการรักษาที่ทำการวิจัยมาแล้วจนเป็นที่ยอมรับว่า เป็นวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐาน ถ้าหลักฐานไม่ชัดเจนให้ถือเป็นงานวิจัย ที่ต้องได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการการวิจัยก่อน และผู้ที่รักษาได้ต้องเป็นแพทย์เฉพาะทางที่มีวุฒิบัตรเฉพาะทาง [13],[14]

2. เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ที่โฆษณาตามผลิตภัณฑ์ และคลินิกเสริมความงามต่างๆ เชื่อถือได้หรือไม่?
ปัจจุบันต้องยอมรับว่ากระแสเสริมความงามต่างๆ กำลังมาแรง โดยเฉพาะตามคลินิกเสริมความงามต่างๆ ซึ่งอ้างถึงการนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ โดยมุ่งหวังที่จะเอาแต่ผลกำไรเพียงอย่างเดียว ผู้บริโภคจึงต้องเลือกอย่างฉลาด ขอยกตัวอย่าง องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) นั้นยอมรับให้ใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพียงข้อเดียวคือ เพื่อรักษาโรคที่จำเพาะเช่น มะเร็งเม็ดเลือด โดยต้องใช้เซลล์ต้นกำเนิดที่เก็บจาก สายสะดือเด็กระหว่างคลอดเท่านั้น สำหรับข้อบ่งชี้อื่นนั้นยังไม่ได้รับการรับรอง นอกจากนี้ยังแนะนำประเทศอื่นว่า ถ้าต้องการใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาโรคอื่นๆ ควรต้องถามข้อบ่งใช้ และความปลอดภัยให้ดีก่อน และควรจะถามด้วยว่าการนำมาใช้นั้น เป็นส่วนหนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงทำการทดลองหรือไม่ [8-9]
สำหรับประเทศไทยยังได้ออกคำสั่งห้ามมีการนำเซลล์ หรือส่วนประกอบอื่นๆ ของมนุษย์มาทำเครื่องสำอางอีกด้วย [10] ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องสำอางที่อ้างว่า มีการใส่เซลล์ต้นกำเนิดลงไปนั้นต้องใช้วิจารณญาณส่วนบุคคล ศึกษาหาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจ เนื่องจากสเต็มเซลล์มีความเปราะบางและต้องการการเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมพิเศษ เฉพาะ ซึ่งตามห้องทดลองทั่วไปยังเลี้ยงได้ยาก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คลินิกต่างๆ จะเลี้ยงสเต็มเซลล์ไว้ได้เองในตู้เย็น หรือในหลอดฉีดยาโดยไม่มีสารเลี้ยงเซลล์ นอกจากนี้เครื่องสำอางที่อ้างว่าผสมสเต็มเซลล์เช่น จากรกแกะ ถือเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ยากว่าสเต็มเซลล์นั้นจะอยู่รอดจนนำมาใช้ให้เกิด ผลได้อย่างไร [11-12]

3. ถ้าฉีดเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) ทำให้เกิดมะเร็งจริงหรือ ?
ข้อมูลจากการศึกษาทางการแพทย์ พบว่ามีการฉีดเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์ อาจทำให้เกิดความเสี่ยงดังนี้
3.1 อาจเกิดเป็นมะเร็งได้
เนื่องจากเซลล์ต้นกำเนิดมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายกับเซลล์มะเร็งคือ เป็นเซลล์ที่แบ่งตัวได้เร็ว และเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์อื่นได้ โดยเซลล์มะเร็งบางชนิดก็มาจาก เซลล์ต้นกำเนิดที่อยู่ตามที่ต่างๆ ในร่างกายเรานั่นเอง ซึ่งจะสังเกตได้ว่า เซลล์ที่แบ่งตัวได้เร็วมีโอกาสเปลี่ยนเป็นมะเร็งได้มากกว่าเซลล์ที่แบ่งตัวได้ช้า เช่น มะเร็งตับก็พบมากกว่ามะเร็งสมอง เนื่องจากเซลล์ตับสามารถแบ่งตัวซ่อมแซมตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เซลล์ประสาทสมองนั้นไม่มีการแบ่งตัวอีกในผู้ใหญ่ [3]
ดังนั้นการฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปในร่างกายโดยตรงโดยที่ไม่รู้ด้วยว่าเซลล์ต้นกำเนิดที่ฉีดนั้นเป็นชนิดใด จะเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ชนิดใดต่อไป และไปอยู่ที่อวัยวะใด ซึ่งหากควบคุมไม่ได้ก็จะแบ่งตัวจนเกิดมะเร็งขึ้นได้ ตัวอย่างเช่นที่ประเทศรัสเซียพบว่าเกิดมะเร็งสมองขึ้นในผู้ป่วยที่ได้รับการเซลล์ต้นกำเนิดชนิด Fetal stem cell [4]
ที่มาของภาพ : Craig T. Jordan, Ph.D., Monica L. Guzman, Ph.D., and Mark Noble, Ph.D. N Engl J Med 2006; 355:1253-1261
ภาพแสดงนิวโรเสฟียร์ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดในสมองมนุษย์ซึ่งมีความสามารถที่จะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้

3.2 การติดเชื้อ
เกิดจากกรรมวิธีการเก็บรักษาเซลล์ต้นกำเนิดไม่ถูกต้อง มีเชื้อโรคอื่นปนเปื้อนเช่น เชื้อไวรัส นอกจากนี้หากเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่มาจากสัตว์ อาจต้องระวังเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคพิษสุนัขบ้าติดมาด้วย[7]
3.3 เป็นการเปลืองทรัพย์ เปลืองเวลา และเปลืองโอกาสโดยใช่เหตุ
กับ สิ่งที่เรายังไม่รู้แน่นอน ซึ่งนอกจากจะเปลืองเงินและเวลาแล้ว ยังทำให้เสียโอกาสที่จะรักษาด้วยวิธีอื่น ซึ่งเป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่มีผลการศึกษาทางการแพทย์ไว้แล้วชัดเจนว่าใช้ ได้จริง [8-[10]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น